คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2567
อัตราฟื้นตัวเทียบกับปี 2562
(11.1 ล้านคน)
ส่วนแบ่งตลาดลดลง
(2562 vs 2567)
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเป็นอันดับ 1 ในปี 2567 แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 อัตราการฟื้นตัวยังคงช้าและสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่
ประเทศไทยกำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ได้เปรียบจากค่าเงินเยนอ่อน และเวียดนามที่ชูจุดเด่นด้านความคุ้มค่า ส่งผลให้อัตราการฟื้นตัวของไทยตามหลังคู่แข่งอย่างชัดเจน
พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตลาดถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มเดินทางด้วยตนเอง (FIT) ที่เป็นคนรุ่นใหม่ เชี่ยวชาญดิจิทัล และแสวงหาประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย
สายคอนเทนต์: แสวงหาประสบการณ์ท้องถิ่นแท้ๆ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราว
สายตามรอย: เที่ยวตามเทศกาลดนตรี หรือสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์
สายชิม: ลิ้มลองอาหารไทยตั้งแต่สตรีทฟู้ดถึงระดับมิชลิน
สายสุขภาพ: ใช้บริการทางการแพทย์ สปา และนวดแผนไทย
สายเรียนรู้: ส่งบุตรหลานเข้าค่ายเรียนรู้วัฒนธรรมช่วงปิดเทอม
สายมูเตลู: สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
การตัดสินใจทั้งหมดเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของจีน ตั้งแต่การหาแรงบันดาลใจ การจอง และการชำระเงิน การตลาดแบบดั้งเดิมจึงไม่เพียงพออีกต่อไป
Xiaohongshu, Douyin
Ctrip, Fliggy
Alipay+, WeChat Pay
แม้เมืองหลักจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่เมืองรองและแหล่งท่องเที่ยวเฉพาะทางก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แตกต่างและมีศักยภาพในการสร้างคอนเทนต์
เมืองหลักยอดนิยม
เมืองรองที่เติบโต
กิจกรรมยอดนิยม
การเติบโตอย่างยั่งยืนต้องการการเปลี่ยนผ่านจากการเน้น “ปริมาณ” ไปสู่ “คุณภาพ” โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่
อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ