ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังทลายข้อจำกัดด้านเวลาและต้นทุนในกระบวนการพัฒนายา โดยเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “คัดกรอง” แบบสุ่ม ไปสู่การ “ออกแบบ” อย่างมีเป้าหมาย
แพลตฟอร์ม AI สามารถลดระยะเวลาการค้นพบยาในระยะเริ่มต้นได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้ยาใหม่เข้าสู่การทดลองทางคลินิกได้เร็วกว่าที่เคย
ตัวอย่าง: ยา DSP-1181 สำหรับโรค OCD โดย Exscientia สามารถลดระยะเวลาจาก 5 ปี เหลือเพียง 12 เดือน
จีนได้เปลี่ยนสถานะจากโรงงานผลิตยาชื่อสามัญ ไปสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก ผ่านยุทธศาสตร์ชาติที่วางแผนมาอย่างดีและการปฏิรูปกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย
โครงสร้างเชิงยุทธศาสตร์นี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ
มูลค่าข้อตกลงที่บริษัทจีนส่งออกสิทธิ์นวัตกรรมของตนเองพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด สะท้อนถึงทรัพย์สินทางปัญญาที่แข่งขันได้ในระดับโลก
แม้ปริมาณผลงานตีพิมพ์จะมหาศาล แต่เมื่อปรับค่า “อคติในการอ้างอิงภายในประเทศ” (Home Bias) อันดับทางวิทยาศาสตร์ของจีนจะเปลี่ยนไป ซึ่งชี้ให้เห็นความท้าทายระหว่าง “ปริมาณ” และ “ผลกระทบในระดับโลก”
ภาพรวมตลาดโลกแสดงถึงการเติบโตอย่างมหาศาล แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านกฎระเบียบและความสามารถในการเข้าถึงยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่
ทุกสถาบันวิจัยเห็นพ้องต้องกันถึงทิศทางการเติบโตที่แข็งแกร่ง แม้ตัวเลขคาดการณ์จะแตกต่างกัน สะท้อนถึงศักยภาพมหาศาลของอุตสาหกรรม
อุปกรณ์ AI ส่วนใหญ่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ผ่านช่องทาง 510(k) ที่มีความเข้มงวดน้อยกว่า ทำให้เกิดภาวะ “กล่องดำ” ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย
ยีนและเซลล์บำบัดมีศักยภาพในการรักษาโรคให้หายขาด แต่มาพร้อมกับราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ สร้างความท้าทายต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก
1. ปรับตัวสู่ยุคอัลกอริทึม
ลงทุนใน AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่เป็นแกนหลักของ R&D เพื่อความสามารถในการแข่งขัน
2. ตระหนักรู้ทางภูมิรัฐศาสตร์
ทำความเข้าใจยุทธศาสตร์ชาติของจีนเพื่อวางกลยุทธ์การแข่งขันและความร่วมมือ
3. จัดการความเสี่ยงเชิงรุก
สร้างความโปร่งใสในอัลกอริทึมและทำงานร่วมกับผู้คุมกฎเพื่อสร้างกรอบการทำงานที่สมดุล
4. แสวงหารูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน
คิดค้นรูปแบบการจ่ายเงินใหม่ๆ เพื่อให้ยาที่มีนวัตกรรมสูงสามารถเข้าถึงได้
ข้อมูลสังเคราะห์จากรายงาน “จุดบรรจบแห่งอนาคต: ปัญญาประดิษฐ์และจีนกำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์เทคโนโลยีชีวภาพโลกอย่างไร”