อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
แนวโน้มการแยกตัวทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า “Decoupling” ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในมิติทางเทคโนโลยีและการเงิน คำว่า “Decoupling” หมายถึงแนวคิดทางสถาปัตยกรรมที่มุ่งลดการพึ่งพาระหว่างระบบ แอปพลิเคชัน หรือบริการให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งต่างจากการเชื่อมโยงแบบแน่นหนาที่องค์ประกอบต่าง ๆ พึ่งพาอาศัยกันโดยตรง ในบริบทเศรษฐกิจระหว่างประเทศ Decoupling หมายถึงสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของอีกประเทศหนึ่งอีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง ในขณะที่จีนเองก็พยายามลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เช่นกัน รัฐบาลต่าง ๆ สามารถเร่งให้เกิดหรือย้อนกลับกระบวนการ Decoupling ได้ผ่านมาตรการควบคุมการส่งออก การตรวจสอบการลงทุน และการอุดหนุนอุตสาหกรรม
รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า การแยกตัวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในสองมิติสำคัญ:
1. การแยกตัวทางเทคโนโลยี (Tech Decoupling)
มิตินี้เป็นการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ และมีแนวโน้มที่จะแยกขาดจากกันได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเทียบกับด้านอื่น ๆ
2. การแยกตัวทางการเงิน (Financial Decoupling)
จีนพยายามลดการพึ่งพาระบบการเงินของชาติตะวันตกและพัฒนาระบบของตนเอง:
กระบวนการ Decoupling เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ห่วงโซ่อุปทานดั้งเดิมจะยังคงพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ แต่ “โครงสร้างใหม่” ของโลกเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี-การเงิน กำลังจะถูกแยกสายไปสู่สองระบบใหญ่ คือ ฝั่งสหรัฐฯ และชาติตะวันตก กับฝั่งจีนและกลุ่มพันธมิตรของจีน (เช่น BRICS)
การแยกตัวนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทาน โดยการศึกษาจาก Jinji และ Ozawa (2024) ได้ทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้แบบจำลองพลวัตทางเศรษฐกิจที่รวม FDI เป็นช่องทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ โดยทั้งจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก
การแยกตัวทางเทคโนโลยีและการเงินระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ใช่แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการแยกขาดออกจากกันโดยสมบูรณ์ในทุกมิติยังไม่เกิดขึ้น แต่ภาคธุรกิจและรัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตัวและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับ “โครงสร้างใหม่” ของโลกที่กำลังจะแยกสายเป็นสองระบบใหญ่
สำหรับประเทศไทย การดำรงอยู่โดยไม่ปรับตัวนั้น “ไม่ปรับไม่รอด” การกระจายความเสี่ยง การสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ และการมุ่งเน้นคุณภาพในตลาดเฉพาะทาง จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายในบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนี้ได้
อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ