การแยกตัวทางเทคโนโลยีและการเงินของมหาอำนาจ: อนาคตที่ไทยต้องรับมือ

อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ
ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

แนวโน้มการแยกตัวทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า “Decoupling” ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในมิติทางเทคโนโลยีและการเงิน คำว่า “Decoupling” หมายถึงแนวคิดทางสถาปัตยกรรมที่มุ่งลดการพึ่งพาระหว่างระบบ แอปพลิเคชัน หรือบริการให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งต่างจากการเชื่อมโยงแบบแน่นหนาที่องค์ประกอบต่าง ๆ พึ่งพาอาศัยกันโดยตรง ในบริบทเศรษฐกิจระหว่างประเทศ Decoupling หมายถึงสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของอีกประเทศหนึ่งอีกต่อไป

การเปลี่ยนแปลงนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง ในขณะที่จีนเองก็พยายามลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เช่นกัน รัฐบาลต่าง ๆ สามารถเร่งให้เกิดหรือย้อนกลับกระบวนการ Decoupling ได้ผ่านมาตรการควบคุมการส่งออก การตรวจสอบการลงทุน และการอุดหนุนอุตสาหกรรม

แนวโน้มการแยกตัว: เทคโนโลยีและการเงิน 💵 💴

รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า การแยกตัวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในสองมิติสำคัญ:

1. การแยกตัวทางเทคโนโลยี (Tech Decoupling)

มิตินี้เป็นการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ และมีแนวโน้มที่จะแยกขาดจากกันได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเทียบกับด้านอื่น ๆ

  • มาตรการจากสหรัฐฯ:
    • สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้ กฎหมายควบคุมการส่งออกปฏิรูป (Export Control Reform Act – ECRA) ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2018 เพื่อควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่มีการใช้งานสองทาง
    • มีการควบคุมการส่งออกสินค้าคอมพิวเตอร์ขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์อย่างเข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2022
    • ประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2023 เพื่อจำกัดการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (FDI) ไปยังจีนในด้านเทคโนโลยีบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่อ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติ
    • มีการขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนกว่า 1,000 แห่งภายใต้การควบคุมการส่งออกหรือการลงทุน
    • กฎหมาย CHIPS and Science Act ปี 2022 ได้จัดสรรเงิน 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงกลับมายังสหรัฐฯ
    • สหรัฐฯ สั่งแบน Huawei และ SMIC ของจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    • เป้าหมายของสหรัฐฯ คือการ “คัดเลือก” ตัดห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีขั้นสูงที่ถือว่าอ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่ยังคงรักษาระดับการค้าปกติส่วนใหญ่ไว้ โดย Jake Sullivan ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้อธิบายแนวทางนี้ว่าเป็น “สนามหญ้าเล็ก ๆ รั้วสูง” (small yard and high fence)
  • ความพยายามของจีนในการพึ่งพาตนเอง:
    • จีนได้นำเสนอแนวคิด “ความมั่นคงแห่งชาติที่ครอบคลุม” (Comprehensive National Security) ในปี 2014 และได้ออกกฎหมายความมั่นคงที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ เช่น กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (2015), กฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์ (2017), กฎหมายความปลอดภัยข้อมูล (2021) และกฎหมายต่อต้านการจารกรรมฉบับปรับปรุง (2023)
    • มีการเสริมความเข้มงวดในการตรวจสอบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในจีนตั้งแต่ปี 2020 และกฎหมายควบคุมการส่งออกที่มุ่งเน้นความมั่นคงของชาติ
    • จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ โดยเน้น “การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี” (Tech Self-Reliance)
    • ตัวอย่างเช่น การพัฒนาระบบปฏิบัติการ Hongmeng OS (HarmonyOS) โดย Huawei
    • จีนได้ประกาศเป้าหมาย “China Standard 2035” เพื่อกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีแห่งอนาคตในระดับโลกภายในปี 2035
    • จีนใช้ระบบนำทาง BDS Navigation System ของตนเองแทน GPS

2. การแยกตัวทางการเงิน (Financial Decoupling)

จีนพยายามลดการพึ่งพาระบบการเงินของชาติตะวันตกและพัฒนาระบบของตนเอง:

  • มาตรการของจีน:
    • ธนาคารกลางจีนลดการถือครองพันธบัตรของสหรัฐฯ
    • ผลักดันการใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขายระหว่างประเทศ เช่น “Petro-yuan” สำหรับการซื้อขายน้ำมันกับรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย
    • บริษัทจีนเริ่มไม่สนใจทำ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่จะไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนเอง เช่น ตลาดหุ้นฮ่องกง
    • บางบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้ถอนตัวออกจากการจดทะเบียน (Delist) เช่น PetroChina และ Sinopec
  • มาตรการของสหรัฐฯ:
    • รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กดดันบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TikTok ให้ขาย TikTok ให้กับบริษัทอเมริกัน

กระบวนการ Decoupling เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ห่วงโซ่อุปทานดั้งเดิมจะยังคงพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ แต่ “โครงสร้างใหม่” ของโลกเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี-การเงิน กำลังจะถูกแยกสายไปสู่สองระบบใหญ่ คือ ฝั่งสหรัฐฯ และชาติตะวันตก กับฝั่งจีนและกลุ่มพันธมิตรของจีน (เช่น BRICS)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานจากการแยกตัว ⛓️‍💥

การแยกตัวนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทาน โดยการศึกษาจาก Jinji และ Ozawa (2024) ได้ทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยใช้แบบจำลองพลวัตทางเศรษฐกิจที่รวม FDI เป็นช่องทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี

  • ผลกระทบต่อสวัสดิการและการค้า:
    • ในสถานการณ์ที่สหรัฐฯ และจีนจำกัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและควบคุมการส่งออกร่วมกัน (เทคโนโลยีลดลง 80% และต้นทุนการส่งออกเพิ่มขึ้น 20%) สวัสดิการของทั้งสองประเทศจะลดลง 0.41% และสวัสดิการโลกโดยรวมลดลง 0.11%
    • ผลกระทบต่อการค้ามีขนาดใหญ่กว่าผลกระทบต่อ FDI โดยการส่งออกและนำเข้าของจีนลดลง 9.88% และ 5.90% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกและนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลง 6.89% และ 3.63%
    • ในกรณีที่สหรัฐฯ แยกตัวจากจีนเพียงฝ่ายเดียวอย่างสมบูรณ์ (หยุดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการส่งออกสินค้าขั้นกลางทั้งหมด) สวัสดิการของจีนจะลดลง 1.66% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี (1.65%) และเพียง 0.014% มาจากมาตรการควบคุมการส่งออก สวัสดิการของสหรัฐฯ จะลดลง 0.14% และสวัสดิการโลกโดยรวมลดลง 0.31%
    • การศึกษายังชี้ว่า ผลกระทบเชิงลบจะ “ค่อนข้างน้อยหากการแยกตัวจำกัดอยู่แค่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ” แต่จะ “มากขึ้นอย่างมากเมื่อมีประเทศอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการแยกตัว” การศึกษาอื่น ๆ ก็แสดงผลคล้ายกัน โดยชี้ว่าสวัสดิการของจีนอาจลดลงสูงสุด 6.1% และสหรัฐฯ 1% จากการแบนการค้าเทคโนโลยี
  • ข้อดีและข้อเสียของการกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน:
    • ข้อดี: การ Decoupling ช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อ 85% ของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก) และช่วยลดการพึ่งพาแหล่งผลิตเดียว การกระจายซัพพลายเออร์ยังเพิ่มอำนาจการต่อรอง และนำไปสู่การลดต้นทุนเฉลี่ย 10-20%
    • ข้อเสีย: การกระจายความเสี่ยงมาพร้อมกับ ต้นทุนที่สูงขึ้น (ค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายภูมิภาค กฎระเบียบที่แตกต่างกัน) และเพิ่มความซับซ้อนในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการบริหารและการประสานงานได้ถึง 25% นอกจากนี้ยังอาจทำให้สูญเสียประโยชน์จาก ขนาดการผลิต (economies of scale) ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 15-20%
    • แม้มีการเปลี่ยนแปลง แต่จีนยังคงดึงดูดผู้ผลิตด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ความรู้ความชำนาญ และแรงงานที่มีทักษะสูง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าปริมาณการค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง และมีการเปลี่ยนไปประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนาม เกาหลีใต้ อินเดีย ไต้หวัน และไทย อย่างเห็นได้ชัดในปี 2023

โอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย 🇹🇭

ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ โดยทั้งจีนและสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก

  • การกระจายความเสี่ยงและหาพันธมิตรใหม่: ไทยไม่ควรอิงสหรัฐฯ หรือจีนมากเกินไป ควร “สร้างเพื่อนให้หลากหลาย” (Make Friends) และ “กระจายความเสี่ยง” (Diversify/De-Risk) ไปยังประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่ม Global South (ตะวันออกกลาง) รวมถึงตลาดยุโรปและญี่ปุ่น การเร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปเป็นสิ่งสำคัญ
  • การเตรียมพร้อมรับ Tech Decoupling และ Financial Decoupling: ไทยต้องเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังในด้านเทคโนโลยีและการเงิน โดยมีหน่วยงานอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยที่เริ่มจับมือกับธนาคารกลางของจีนและฮ่องกงเพื่อทดสอบสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Wholesale CBDC)
  • ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI):
    • การที่สหรัฐฯ พยายามดึงฐานการผลิตกลับประเทศ (Reshoring) หรือย้ายไปยังประเทศพันธมิตร (Friend-shoring) นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ สูงมาก บริษัทใหญ่อย่าง Apple และ Tesla ยังคงตั้งโรงงานในเวียดนามและจีน เพราะจีนมีปัจจัยที่ตอบโจทย์ทางธุรกิจและช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่ำ
    • ไทยต้อง “สร้างจุดเด่นที่ชัดเจน” และ “สร้างเสน่ห์เฉพาะตัว” เพื่อดึงดูด FDI เช่น:
      • เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy): มุ่งเน้นส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Product และการเป็นศูนย์กลาง (Hub) รถยนต์ EV ที่ใช้พลังงานสะอาดครบวงจร สิ่งนี้จะดึงดูดการลงทุนจากประเทศยุโรปที่ให้ความสำคัญกับ Green Tech
      • อุตสาหกรรมฮาลาล (Halal Industry): พัฒนานโยบายอุตสาหกรรมฮาลาลแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิตสินค้าคุณภาพสูง การสร้างมาตรฐานฮาลาลที่เป็นสากล ระบบขนส่งและท่าเรือฮาลาล ไปจนถึงบริการโรงแรมฮาลาลระดับห้าดาว เพื่อเจาะตลาดมุสลิมทั่วโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูง
  • การแข่งขันด้านคุณภาพ: ไทยควร “สู้ด้วยคุณภาพ” และมุ่งเน้นตลาดระดับบน เนื่องจากจีนและเวียดนามมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตต่ำในตลาดล่างและกลาง ทำให้ไทยแข่งขันได้ยาก ควรเน้นผลิตสินค้าที่มีดีไซน์ หรือสินค้าเพื่อสุขภาพ

บทสรุปและข้อคิดเพื่อการรับมือในอนาคต👍🧐

การแยกตัวทางเทคโนโลยีและการเงินระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ใช่แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการแยกขาดออกจากกันโดยสมบูรณ์ในทุกมิติยังไม่เกิดขึ้น แต่ภาคธุรกิจและรัฐบาลทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตัวและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับ “โครงสร้างใหม่” ของโลกที่กำลังจะแยกสายเป็นสองระบบใหญ่

สำหรับประเทศไทย การดำรงอยู่โดยไม่ปรับตัวนั้น “ไม่ปรับไม่รอด” การกระจายความเสี่ยง การสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ และการมุ่งเน้นคุณภาพในตลาดเฉพาะทาง จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายในบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนี้ได้

อาจารย์ทศพร เลิศพิเชฐ

ประธานกรรมการบริหารศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ