สินค้าเกษตร (กสิกรรม ประมง และปศุสัตว์) เป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก เป็นการสร้างอาชีพหลักและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย อีกทั้ง ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคอุปโภค และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปต่างๆ ซึ่งในแต่ละปีการส่งออกสินค้าเกษตร สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนมาก โดยในปี พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา ไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตร 300,529.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.4% ซึ่งการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มีสัดส่วน 17.36% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย คิดเป็นมูลค่า 52,185.0 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำสถิติมูลค่าส่งออกแตะ 52,185.0 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรก ขยายตัวที่ 6.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกสินค้าเกษตร (สินค้ากสิกรรม สินค้าปศุสัตว์ และสินค้าประมง) มูลค่ารวม 28,827.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวที่ 7.5% ขยายตัวต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 – 2567 (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า, 2567)
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 2568
สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 2) ข้าว 3) ยางพารา 4) ไก่ และ 5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
สำหรับตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน 10,054.7 ล้านดอลลาร์ 2. ญี่ปุ่น 3,471.9 ล้านดอลลาร์ 3. สหรัฐอเมริกา 1,899.7 ล้านดอลลาร์ 4. มาเลเซีย 1,215.4 ล้านดอลลาร์และ 5. อินโดนีเซีย 1,154.8 ล้านดอลลาร์ รวม 5 อันดับแรก มีสัดส่วน 61.73% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า, 2567) จะเห็นได้ว่าประเทศจีนยังคงเป็นตลาดหลักในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย เนื่องจาก จีนมีประชากรจำนวนมาก ทำให้ความต้องการบริโภคอาหารและผลไม้สูงขึ้นทุกปี ผู้บริโภคชาวจีนนิยมบริโภคผลไม้เมืองร้อน โดยเฉพาะทุเรียนที่ถือว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” แต่จีนมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศในการปลูกผลไม้เมืองร้อน การนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า ประกอบกับสินค้าเกษตรไทยมีคุณภาพมาตรฐานรองรับ ทั้งในกระบวนการผลิตและการเก็บเกี่ยว ทำให้สินค้ามีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และจากความร่วมมือข้อตกลงทางการค้า หรือ FTA (Free Trade Agreement) เช่น เขตการค้าเสรีอาเซียนจีน (ACFTA) และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP และ ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-จีน ช่วยลดภาษีนำเข้าทำให้ต้นทุนลดลง นอกจากนี้ปัจจุบัน การขนส่งสินค้าเกษตรไทยไปจีนมีหลากหลายรูปแบบซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ในการเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมที่สุด คลอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าประเทศจีนยังมีความต้องการสินค้าเกษตรไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ยังเกิดปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็ก หรือวิสาหกิจชุมชนที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้ แต่ไม่มีโอกาสในการเข้าสู่ตลาดจีน เกิดจากการขาดองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ ขาดข้อมูลด้านพฤติกรรมผู้บริโภคจีน การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยังไม่เหมาะสมกับการส่งออก และไม่สามารถเข้าถึงช่องทางการขายในตลาดจีนได้เนื่องจากขาดเครือข่ายความร่วมมือ ดังนั้น ในการพัฒนาศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนไทยในการส่งออกสินค้าเกษตรไปสู่ประเทศจีน มีแนวปฏิบัติ ดังนี้
นอกจากปัจจัยข้างต้นของวิสาหกิจชุมชนแล้ว นโยบายต่างๆ จากภาครัฐฯ ล้วนมีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและการเตรียมความพร้อมในการส่งออกไปสู่จีน โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
ภาพ: การพัฒนาศักยภาพการส่งออกสินค้าเกษตรของวิสาหกิจชุมชนไทยไปจีน
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสินค้าเกษตรไทยยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวจีน แต่ปัจจุบันจีนยังขยายนโยบายในการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทศ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ การกำหนดส่วนประสมทางการตลาดและวางแผนกลุยุทธ์การส่งออกให้เหมาะสม เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดจีนอย่างยั่งยืน
เรียบเรียงโดย อาจารย์ สุภาวดี คุ้มราษฎร์